Monday, April 28, 2014

10 สิ่งที่คนเป็นลูกควรรู้ไว้



เมื่อไม่นานมานี้ คุณพ่อของเอ็มอยู่ดีๆก็ไม่สบาย เกิดอาการที่เรียกว่า Belle Palsy หรือเส้นประสาทคู่ที่ 7 ติดไวรัส ทำให้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อหน้าข้างหนึ่งได้
แต่ก่อนจะเกิดอาการนี้ ในช่วงเวลาที่เราไม่รู้สาเหตุของการไม่สบายที่เกิดขึ้น
คุณพ่อตื่นนอนและมีอาการปวดศรีษะ ไม่สามารถควบคุมการทานอาหารได้ดีเหมือนที่เคยเป็น

เป็นช่วงเวลา ที่คนเป็นลูกอย่างเรา คิดอะไรได้มากมาย
ความจริงแล้ว ในช่วงเวลาแบบนี้เคยเกิดกับเอ็มครั้งหนึ่งตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง
แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก

ในขณะที่เรารอกระบวนการตรวจวินิจฉัย.... ในหัวมีประโยคที่ว่า
"ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วเราจะทำยังไงดี?" เพียงแค่ครั้งเดียว
เอ็มเป็นพี่คนโต ในสมองนั้นจึงคิดอย่างเดียวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น
เราก็ต้องมีสติที่สุด หันไปหาคุณแม่ คุณแม่กลับมีสติมากกว่าเรา
เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเรามีสติ เราก็คิดไว้ล่วงหน้าเลยพรุ่งนี้งานก็ต้องเดินต่อไป
เราอาจต้องทำหน้าที่แทน ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องพร้อม ไม่ว่าวินาทีไหนก็ต้องพร้อม
ไม่มีคำว่า " ทำไม่ได้ " " ไม่ไหว" " ไม่เก่ง"
มีแต่คำว่า ทำได้ มั่นใจและทำได้ดี

อาชีพของเราคืออาชีพเทรนเนอร์ บางคนเรียกเราว่า โค้ช บางคนเรียกเราว่าที่ปรึกษา
 บางคนเรียกเราว่าครู อาชีพเทรนเนอร์ ไม่ใช่อาชีพที่ใครจะเป็นก็ได้
เป็นอาชีพที่ไม่รักจริง ไม่จริงใจก็เป็นไม่ได้

นอกจากคิดถึงอนาคตแล้ว ยังคิดถึงอดีต
คิดถึงเวลาที่เราเสียไปกับบางสิ่งที่เราเรียกว่า "ชิลๆ"
มองกลับกัน เวลาที่เรา ชิลๆ
พ่อกับแม่เราไม่ได้ชิลไปกับเรา กลับตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บเงิน ประหยัด
เพื่อส่งเราเรียน และเพื่อเป็นทุนให้เรามีชีวิตที่ดีในอนาคต
ช่วงเวลาที่เราค่อยๆโตมา หลายครั้งที่มีเสียงบอกว่ามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป
นอกจากเรียนแล้ว เวลาว่างเราก็ไปหาความสุขใส่ตัว
บ่อยครั้งที่ลืมคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
บ่อยครั้งที่เราพูดจาดี ไพเราะกับคนนอกบ้าน แต่กลับพูดจากระแทกแดกดัน
กับคนในบ้าน เพียงแค่มีคำถามว่า "ไปไหนมาลูก"
บ่อยครั้งที่เราไม่เห็นค่าของสิ่งที่คนในบ้านทำให้เรา
บ่อยครั้ง ที่เราเข้าใจพ่อแม่เราผิดว่าสนใจแต่งานไม่สนใจเรา
บ่อยครั้งเราละเลยกับสิ่งที่พ่อแม่เราสอน
บ่อยครั้งที่เราทำให้คนในบ้านเสียนํ้าตา เพราะการกระทำและคำพูดของเรา

และหลายคนก็เสียใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น บางคนเสียใจมากกว่าคนอื่น เพราะเวลาไม่เคยรอใคร
บางคนปล่อยปละจนเวลาล่วงเลย และ สายเกินไปในที่สุด

หลังจากการตรวจวินิจฉัยเรียบร้อย สติเอ็มก็กลับมาโดยสมบูรณ์
ไม่มีผลกระทบอะไรกับสมอง อาการนี้เกิดขึ้นเพราะคนไข้พักผ่อนไม่เพียงพอ
และทำงานหนัก ควรจะได้รับการพักผ่อน

วินาทีนั้นเอ็มเปลี่ยนตัวเองไปอีกขั้น เพราะนี่คือคำว่าโชคดี ที่คุณพ่อไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านี้
โชคดีที่พระเจ้ายังให้เวลาเรา ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับท่านและครอบครัวของเรา
เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกนาทีที่ล่วงเลยไป เอ็มตั้งใจทำเทรนนิ่งสุดความสามารถและจะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากวันนั้น เอ็มได้คุยกับเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ที่เอ็มเคารพเรื่องนี้ พี่ท่านนี้คุณพ่อของพี่เค้าเสียไปนานแล้ว พี่เค้าได้เตือนเอ็มว่า นี่ละคือช่วงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร ทำอะไรเพื่อใคร และหายใจเพื่อใคร ยังไม่สายไปที่จะเรียนรู้ แม้ว่าพ่อแม่เราจะได้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่เราเกิด หากวินาทีนี้ทำอะไรให้พ่อแม่ได้ แล้วท่านมีความสุขก็จงทำ จะได้ไม่มาเสียใจ และเสียดายภายหลัง

สิ่งที่อยากฝากไว้ให้คนเป็นลูกในการโพสต์ครั้งนี้คือ

1.เลิกพูดว่าขี้เกียจเวลาพ่อกับแม่วานให้ทำอะไร
2.การพูดกระแทกแดกดันไม่ได้แสดงให้เห็นว่าคุณเก่งอะไร แต่แสดงให้เห็นว่าคุณใช้อารมณ์เป็นหลักการในการใช้ชีวิตอีกทั้งยังสร้างความเจ็บปวดใจให้กับคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย
3.ค้นหาตัวเองให้เจอเร็วที่สุด ทำบทบาทและหน้าที่ให้ดี มีความสุข
4.อย่าเห็นแต่ตัวเอง เห็นแก่คนอื่น แล้วคุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น
5.เวลาไม่เคยคอยใคร บ่อยครั้งที่เราบอกว่าเราจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งแล้ว
เริ่มเลยค่ะ อย่าปล่อยให้เวลาพาคุณผ่านไป และมาเสียใจ
6.มีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีความสุขหรือความทุกข์
7.เงินทองไม่ได้หายาก แต่เงินทองมีค่ามาก มากกว่าจะไปใช้จ่ายกับอาหารหรูๆ แพงๆ หรือข้าวของแพงๆที่มาจากรายได้ที่คุณไม่ได้หาเอง และได้มาครอบครองเพียงเพื่อต้องการให้คนอื่นประทับใจเรา
เก็บเงินทองไว้มีความสุขกับคนในครอบครัว เพื่อน และคนที่คุณรัก/รักคุณ จะดีกว่า :)
8.หลายคนอยากประสบความสำเร็จให้พ่อแม่ภูมิใจ แต่ยังใช้เวลาไปกับสิ่งไร้สาระ
คงต้องถามกลับไปว่า วันนี้คุณอยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจจริงๆหรอ หรือพูดเพื่อให้ท่านมีความสุขชั่วคราว
9.สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่บอกมาทั้งหมดไม่ได้อยากให้ผู้อ่านทำงานหนักจนลืมสุขภาพ
รักษาที่กายและจิต เดี๋ยวสิ่งดีๆจะมาหาเองค่ะ
10.ชีวิตด้านบวก ผ่อนคลายบ้าง ไม่เสียหาย เพียงแต่รู้จักบริหารชีวิต เพื่อตัวคุณและคนรอบข้างค่ะ


เราลืมไปกันหมดเลย ว่า ที่เราเป็นเราทุกวันนี้ได้เพราะใคร

ฝากไว้ ไม่ว่าคุณที่อ่านสิ่งที่เอ็มเขียนตอนนี้จะโตกว่าหรือจะเด็กกว่า เพราะเอ็มไม่อยากให้คุณคนใดคนหนึ่ง ต้องมาเสียใจภายหลัง :)

Wednesday, April 23, 2014

การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง version1




หลังจากกลับจากสัมมนาที่มาเลเซียตั้งแต่วันอาทิตย์มา การตื่นเช้าตอน 6 โมงครึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดา เป็นเรื่องที่อยากตื่นมา แล้วทำงานในสิ่งที่รัก เป็นเรื่องที่มีความสุข

ความจริงตรงข้ามกับ 2 เดือนที่ผ่านมามาก แม้ว่าจะดำเนินธุรกิจในสิ่งที่ตัวเองรักและหลงใหลมาก แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็อาจมีท้อบ้าง บางครั้งที่ไม่อยากตื่นนอนตอนเช้า เพราะไม่อยากเผชิญปัญหา ที่เกิดขึ้น คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจคงเข้าใจดี แต่ความจริงแล้ว มันอยู่ที่มุมมองของเรา

ความจริงเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ก่อนไป ลองทำใหม่ ล้มแล้วล้มอีก ก็ลองลุกแล้วลุกอีก ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกมีความสุขมาก ก่อนนอนก็มีความสุข คิดอยู่เสมอว่า พรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง เขียนเป็นรายการ และไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง เชื่อว่านิสัยนี้เป็นนิสัยที่คนเป็นเยอะ ไม่ต้องฝึกก็เป็นได้

คิดว่าสิ่งที่จะแชร์ต่อไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณไม่มากก็น้อย  วันนี้จึงขอแชร์ขั้นตอนแรกที่ได้จากการสัมมนามาเลยละกันค่า

สิ่งแรก คือ ............

มุมมองต่อธุรกิจ ................
มุมมองต่อเงิน...................
มุมมองต่อความรวย...............

เริ่มต้นคือธุรกิจของเรา เราเข้าใจธุรกิจอย่างไรบ้าง บางคนคิดว่าธุรกิจเป็นเรื่องวุ่นวาย มีแต่ปัญหา
ก็จริง แต่ทราบไม่คะว่าปัญหาคือขุมทรัพย์ที่ไม่ค่อยมีคนอดทนจนค้นเจอ เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องชัดเจนกับตัวเรา ว่าเรามีทัศนคติอย่างไร หากทัศนคติบวกก็จะทำให้สิ่งที่เราประสงค์เป็นจริงอย่างแน่นอน

หากสิ่งที่เราคิดเป็นลบ ก็แน่นอนทุกคนคงรู้ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

มุมมองต่อความรวย หลายคนอย่างรวย แต่อิจฉาคนรวย ดูถูกตัวเองบ้าง

ถ้าหากเราเปลี่ยนมุมมอง และตอบโจทย์ทัศนคติของคุณได้ชัดเจน บนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป


vision does matter!!! 

Monday, April 7, 2014

ไอเดียใหม่เพื่อการตลาดโลกออนไลน์จากเพื่อนออสเตรีย

โพสต์ครั้งนี้ของเป็นโพสต์ที่ไม่ได้อิงข้อมูลสถิติจากที่ใด แต่ขอเป็นการโพสต์ซึ่งถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงของ เพื่อนออสเตรียที่ทำงานด้าน online marketing ให้กับ ski resort ที่ออสเตรีย 
เพื่อนคนนี้มีนามว่า จูเลีย 

เอ็มกับจูเลียเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนเรียน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรียกซะเต็มยศ ง่ายๆสั้นๆคือ ABAC เนี่ยละคะ เราเจอกันเพราะจูเลียมาแลกเปลี่ยนที่มหาลัยของเรา เมื่อ 6 ปีที่แล้ว คงเดาอายุกันออก ณ จุดๆนี้  จูเลียเป็นคนเยอรมัน ไม่สูงมาก มีตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์ มีรอยยิ้มที่สดใส หน้าตาเฟรนลี่ เวลานางตอบในคลาสเป็นคำตอบที่ฉลาดมากกก  เป็นคนยุโรปที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว เราเริ่มรู้จักกันเพราะความ เสร่อของนิสัยการทำความรู้จักคนของเอ็ม แต่เอ็มคิดว่านี่คือข้อดี แม้หลายครั้งจะโดนเพื่อนรอบข้างด่าอยู่บ่อยๆ แต่สิ่งๆนี้ทำให้เราได้รู้จักคนมากขึ้น และจะเข้าใจว่าการรู้จักคนที่มีคุณภาพมากจะเป็นผลประโยชน์ดีต่อตัวคนเวลาทำงานหรือทำธุรกิจในอนาคต นะค่ะ : ) 

เอาเป็นว่าเราได้มาเจอกันใหม่หลังจากไม่ได้เจอกันหลายปี ครั้งนี้จูเลียและเอ็มแลกเปลี่ยนความรู้ด้าน online marketing มากขึ้นทำให้เอ็มเปิดโลกกว้างได้กว้างเหมือนได้อ่านหนังสือดีๆ อีกเล่มเลยทีเดียว 

จูเลียแชร์ประสบการณ์จากการที่เราคุยกันคือเรื่องของ social media ที่จูเลียใช้เพื่อโปรโมท ski resort ที่เธอทำหน้าที่ดูแล online marketing อยู่ ( เธอเป็นคนเยอรมันแต่ย้ายไปทำงานที่ออสเตรียค่ะ) 
ไอเดียเหล่านี้สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจหลายๆแบบได้เช่นเดียวกันนะคะ :) 
1.social media ที่เหมาะสม กับธุรกิจ ski resort service 



จูเลียไม่ได้ใช้เยอะค่ะ จูเลียใช้อยู่ที่แน่ๆคือ facebook เป็นหลัก ซึ่งตรงนี้เราพูดไปถึงการทำโฆษณาผ่าน เฟสบุ๊คที่ จูเลียกล่าวว่าการนำ video advertisement function เข้ามาใน facebook ads จะส่งผลดีให้กับ ski resort ได้อย่างมาก เพราะธุรกิจนี้คือ service การให้บริการเพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าสามารถทำให้ target audience ได้เห็นการเคลื่อนไหว ซึ่งดีกว่าการเห็นภาพนิ่ง และอีกทั้งยังได้ยินเสียงอีก จะทำให้สิ่งที่โฆษณานั้นดูเป็นจริงขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง เธอบอกอีกว่า การใช้ video marketing จะช่วยเธอได้เยอะ เพราะฉะนั้นช่องทาง youtube channel ก็จะเป็นอีกช่องทางที่มีความเข้มข้นขึ้นแน่นอนในอนาคต 
หลักๆ ที่มีก็จะมีประมาณนี้ 2 ช่องทางแต่เอาแบบ คุณภาพเน้นหนัก จริงๆ

2.SEO + SEA 



search engine optimization  และ search engine advertising เราพูดคุยกันถึงจุดนี้เพราะเราคุยกันถึงช่องทาง youtube ที่เริ่มมี โฆษณามาแล้ว และการใช้งานง่ายๆก็ เข้าไปใน google adwords เนี่ยละคะ จะมีฟังก์ชั่นอยู่เอ็มเองยังไม่ได้เข้าไป แต่จูเลียเพื่อนชาวยุโรปกล่าวมาเช่นนี้เดี๋ยวเราคงต้องเข้าไปดูสักหน่อย 

3. Google+ 

หลายโพสต์ที่เราพูดถึง google+ แล้วเราคุยกันว่าไม่มีประโยชน์เลย ความจริงคือมันมี แม้ว่า platform นี้จะไม่ได้รับความนิยม จูเลียกล่าวไว้ว่า ฉันใช้ google+ เพราะ google+ ทำให้ฉัน connect กับคนที่นอกเหนือจากกลุ่มเพื่อนของฉันคือคนที่มีความสนใจเดียวกัน  "We can share interests with people who have same interests" เพราะฉะนั้นแล้วในอนาคตสิ่งที่เราแชร์ใน google อาจจะกระจายไปได้มากกว่าเดิมด้วยซํ้า บนโลกของ social media ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไวมาก มีไว้ไม่เสียหาย เรียนรู้ไว้ไม่เสียเวลา อีกอย่าง google ครอบครองทุกอย่าง ( เหตุผลนี้น่าคิด เหมือนเหตุผลการใช้ youtube และ blog spot) 

4.รูปสวยๆจากภูเขาหิมะ 


สำคัญมาก นี้คืออีกสิ่งที่เธอพูดถึง รูปสวยๆแบบไม่ต้องแต่ง มันคือเรื่องจริง จริงๆค่ะ ที่จะช่วยสร้าง traffic ให้คนเข้ามาในแฟนเพจของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ เพราะการท่องเที่ยวคือสิ่งที่ทำคนใฝ่ฝัน หน้าที่ของเธอคือ ทำให้ target audience เห็นภาพฝันได้ชัดเจนมากขึ้น ผ่าน social media 

5.ท้ายสุดแล้ว ความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งสำคัญ 


target audience อาจไม่ได้ทำการซื้อขายกับเราทันที ผ่าน social media แต่เราก็ต้องซื่อสัตย์กับเค้าตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่รู้จักกัน 
sales จะเกิดขึ้นได้ หากเราสามารถใช้เครื่องมืออย่างอื่นมาช่วยด้วย มีหลายคนเข้าใจผิดว่า เราใช้social media อย่างเดียว แล้วเราจะสร้างยอดขายแบบตูมตาม ความจริงแล้วก็เกิดขึ้นได้แต่หัวใจสำคัญคืออยู่ที่ content เวลา กลยุทธ์การเข้าถึง และมีอีกหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ในทุกๆวันที่ไม่เหมือนกันเลย 


จูเลียทิ้งท้ายก่อนเราจะเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับแฟนหนุ่มของเธอ เพราะเราทิ้งให้เค้านั่งงุนงงอยู่นานกับสิ่งที่เราคุยกันว่า จูเลียจะคอยอัพเดท แชร์ความรู้ให้เอ็มเพิ่มอีกบางที อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละครั้งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับแฟนเพจของเอ็มด้วย ยังมีเพื่อนอีกหลายประเทศ ที่เป็นคนคุณภาพ คนทำงานจริง ยังไงเอ็มจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาฝากกันอีกเร็วๆนี้นะคะ อย่าลืมติดตามกันค่า :)