Saturday, February 22, 2014

เมื่อการโฆษณาของเฟสบุ๊คเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนด้วยหรือไม่!!???

วันนี้เอา tips สำหรับ facebook ads targeting มาฝากค่ะ 


หลังจากที่เฟสบุ๊คเปลี่ยน function facebook ads อีกแล้ววว 
โดยรวม target ทั้ง แบบ broad คือแบบ กว้างๆ กับ specific คือเฉพาะ เจาะจง 
ทำให้ประสิทธิภาพในการทำ ads น้อยลง อันนี้จากประสบการณ์ทำโฆษณา สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาค่ะ เพราะ ฉะนั้นแล้วเราก็จะต้องหาวิธี เพื่อแก้ไขกันไป โดยจุดที่เราต้องแก้ไขคือ เรื่อง targeting 







1.เรื่องของการ boost post ยังแนะนำให้ทำต่อเนื่อง เพราะ อย่างไรก็ตาม หากเราโพสในแต่ละวัน เปอร์เซนต์ในการมองเห็นมากสุดอาจจะอยู่แค่ 10% ของเเฟนเพจหรืออาจไม่ถึงเลย
จำนวน แฟนเพจที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ





2.custom audience สำหรับท่านใดที่มี ฐานข้อมูลของผู้มุ่งหวัง อยู่แล้ว สามารถ นำมาใส่ได้ หากใครไม่มี ลอง หาวิธี เก็บ data base ดูค่ะ อีเมลล์ เป็นข้อมูลเบื้องต้นและอาจได้มาง่ายสุด
โดยใช้ landing page หรือ opt in สำหรับ ท่านใด ยังไม่ทราบเรื่อง opt in ลองใช้ google docก่อนก็ได้ค่ะ ในการรองรับ ข้อมูล เพื่อแปลงเป็นไฟล์ใส่ custom audience ได้สะดวกมากขึ้น 


2.1 แหล่งข้อมูลสำหรับ opt-in (สำหรับผู้เริ่มต้น) สามารถใช้ google doc ได้ค่ะ
2.2 get response
2.3 contact me 
2.4 aweber 



3.บางทีข้อมูลลูกค้า ก็ เกิดจากการ search ผ่าน google จำนวนเยอะนะคะ ถ้าเราสามารถทำ google adwords เพื่อให้เกิด traffic มากขึ้น และ หลังจากนั้นสร้างช่องทางการรับข้อมูลของลูกค้าผ่านทางอีเมลล์ไม่ว่าจะเป็น registration เพื่อให้เรามีฐานข้อมูลมากขึ้นค่ะ 


4.วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจากคู่แข่งค่ะ การสังเกตุการณ์จะทำให้ไปพบสิ่งใหม่ๆ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของคู่แข่งสามารถเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้หากคู่แข่งเป็น direct competitors หรือคู่แข่งทางตรง 

5.ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากดูคู่แข่งแล้วอย่าลืมกลุ่มเป้าหมาย ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง 


5 ข้อง่ายๆ ที่จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมต่อไปถึงการโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการเขียน content ที่ถูกตาต้องใจ กลุ่มเป้าหมายด้วยค่ะ 
           :) 

Wednesday, February 19, 2014

ญี่ปุ่น ไปกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ (1)

สวัสดีค่าทุกคน ผ่านไปเกือบเดือน สอนจบเดือนมกรา ถือโอกาศเริ่มต้นเดือนแห่งความรัก ด้วยการรักตัวเอง พาตัวเองไปเที่ยวประเทศที่ใครๆไปก็ติดใจเพราะเสน่ห์บางอย่าง ทั้งผู้คน สิ่งแวดล้อม บ้านเมือง อาหาร อากาศ ประเทศนั้นก็คือ ญี่ปุ่นค่ะ

ทริปนี้ไม่ได้ประหยัดมาก เน้นสบายๆค่ะ แต่เราก็ไม่ซื้อตั๋วให้แพงจนเกินไป บังเอิญช่วงต้นเดือนมกราคมใช้บริการ airport rail link ลงสถานี พญาไท จึงเจอ pop-up office ของ H.I.S Tour : Love Peace and Travel



ใครไม่ทราบโลโก้เป็นอย่างไร หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ ไม่ได้ค่าโปรโมทใดๆ แต่ประทับใจการบริการค่ะ

เราเริ่มไปส่องๆ หยิบโบชัวร์มา หลังจากนั้นก็ไปติดต่อซื้อตั๋วที่สาขา เอกมัยค่ะ เป็นแพคเกจ 5 วัน 3 คืน พร้อมที่พัก แต่เนื่องจากว่าผู้ร่วมทริป น้องสาวสุดเลิฟ บอกว่าไม่พอ เราจึงต้องขยายวันและจองที่พักกันเองค่ะ เริ่มบิน คืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เครื่องบินออก 12.50 จะถึงประมาณ 9 โมงกว่าๆ เวลาของญี่ปุ่นวันที่ 3 กุมภาพันธ์ค่ะ

สายการบินใหม่ของ H.I.S tour คือ สายการบิน Asia Atlantics Airline หรือ AAA ค่ะ

logo เป็นเช่นนี้ ค่ะ ปลายหางเครื่องบิน มี A 3 ตัว แต่จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ประมาณ เคาน์เตอร์ E หรือไม่ จำได้ว่าอยู่ต้นๆค่ะ

เราบินกันคืนวันอาทิตย์ คนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ ขึ้นไปบนเครื่องบิน แอร์โฮสเตส บริการดี มารยาทดี แต่งกายน่ารักค่ะเป็นสีฟ้า มีหมวกด้วย ไม่ได้ถ่ายรูปมาเสียดายจัง เครื่องบิน take off หลับยาว คนน้อยมากค่ะเพื่อนอีกคนที่นั่งคนเดียวเลยนอนยาวมีพื้นที่เป็นของต้นเอง ตื่นอีกทีก็เห็นฟ้าใสแบบนี้แล้วค่ะ 


พร้อมเจออาหารเช้า มี 2 แบบให้เลือก ออมเลตหรือข้าวต้มญี่ปุ่น เอ็มเลือกข้าวต้มญี่ปุ่นค่ะ เป็นข้าวต้นและมีกุ้งสับเค็มๆหวานๆ อร่อยดีค่ะ คล่องคอยามเช้า แถมชาเขียวมาด้วย ชื่นใจมากค่ะ 




น้องสาวทาน ออมเลตแบบฝรั่งค่ะ 
สายการบินนี้จอดที่ narita ค่ะ อาจจะไกลตัวเมืองกว่า hadena แต่ก็มีบริการ limousine bus ค่ะ
ทั้งหมดทั้งมวลก็ถือว่าไม่แพงมากพันกว่าบาทเพราะทั้งไปและกลับอีกทั้งยังซื้อ metro ticket 2 day pass อีกด้วย 
จะมีตารางเวลารถให้เราค่ะ ก่อนถึงเวลา 10 นาทีเราไปยืนรอได้เลยค่ะ เราจะไป akasaka เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติอยู่กันเยอะ รถจะไปจอดที่ ANA intercontinental hotel ค่ะ 

ระหว่างรอเราก็ต่อคิวเป็นระเบียบตามระเบียบการของเค้าค่ะ 



เมื่อรถบัสมาถึงเราใช้เวลา 90 นาทีไปถึง ANA intercontinental ค่ะ 
ที่พักเราไม่ใช่ intercontinental หรอกค่ะแต่ที่พักเราเป็น weekly mansion tokyo akasaka ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ intercontinental ค่ะ 









เหตุผลที่ Facebook ซื้อหุ้นของ whatsapp



สองปีที่ผ่านมา line ตีตลาด ทะลุ ทั้ง IM หรือ instant message กับ ตัว social media platform ซึ่งหากย้อนกลับไปดูที่ญี่ปุ่น แล้ว line คืออันดับหนึ่ง ทั้งประเภท instant message และ social media platform
แม้ว่าwhatsapp เคยเป็นที่ 1 ในการสื่อสารผ่าน instant message ก่อน แต่ณ ปัจจุบัน หลายคนคงเลิกใช้ไปแล้ว บางคนก็กำลังจะเลิกใช้  เนื่องจากถ้าจะโหลดใหม่ก็ต้องเสียเงินโหลด ถึง $.99 เลยทีเดียว

เฟสบุ๊คเองก็พยายาม พัฒนา ส่วนที่เป็น inbox หรือ facebook messaging โดยการเพิ่มสติ๊กเกอร์น่ารักๆ เข้ามา พร้อมมี video calling แต่น้อยคนนักจะใช้ function นี้ของเฟสบุ๊ค
ในที่สุดข่าวล่า วันนี้เมื่อเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาคือ เฟสบุ๊คซื้อ whatsapp แล้ว แต่รายละเอียดและเหตุผลคืออะไรละคะ  .... ดูจากข้างต้น ทั้งสองก็กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆเพื่อให้ได้พัฒนาและสู้ได้กับคู่ต่อสู้ที่เกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด ทำให้เฟสบุ๊ค ซื้อหุ้นของ whatsapp ด้วยราคา

16 พันล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ 16 พันล้าน แตกออกเป็นอะไรได้บ้าง

12 พันล้านถูกใช้ไปในหุ้น

4 พันล้านเป็นเงินสด

3 พันล้านเป็นค่าพนักงาน

ทั้งหมดรวมแล้วคือ 19 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐค่ะ

การแถลงการณ์ของทางเฟสบุ๊คนั้นการได้ whatsapp มาถือเป็นการเกิดใหม่ของการร่วมมือกันระหว่าง facebook และ whatsapp เนื่องจาก whatsapp สามารถเป็นจุดเชื่อมต่อให้กับผู้ใช้ หรือ user ได้ถึง 1 พันล้านคนเลยทีเดียว ถึงแม้จำนวนผู้ใช้จะลดลง แต่ก็มีผู้ใช้อยู่ถึง 70% ของจำนวนการ register ทั้งหมด

ทางเฟสบุ๊คมองว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นร่วมถึง function instant message ที่ยังไม่สามารถ สู้คู่แข่งบางแบรนด์ได้
เราเคยพูดเรื่อง trend ในปี 2014 ไปแล้วว่าหนึ่งในเทรนด์ ที่แท้จริงคือเรื่อง mobile marketing อาจไม่ใช่ sms แต่คือ instant message platform + social media platform กับการพัฒนาที่ต้องทำให้ต่อเนื่อง

ที่น่าจับตามองก็คือ หากทางผู้บริหารของ whatsapp กล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ application ใดๆทั้งสิ้น ไม่มีโฆษณา ไม่มีการรบกวนใดๆ ให้กับผู้ใช้ whatsapp เลย แล้วการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคืออะไร แต่คอยติดตามกันนะคะ

mobile marketing เป็นเรื่องสำคัญ ลองหาความรู้เพิ่มเติม จะดีมากค่า 

หวังว่าบทความวันนี้จะเป็นประโยชน์เช่นเคยค่ะ 


วิเคราะห์บทความจาก 

credit : 
techcrunch
businessinsider 
techinasia