Showing posts with label กลยุทธ์การตลาด. Show all posts
Showing posts with label กลยุทธ์การตลาด. Show all posts

Saturday, March 15, 2014

คุณภาพ VS ปริมาณ อันไหนดีกว่ากัน?

วันนี้ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ได้แบ่งปันประสบการณ์และความรู้ให้กับ ผู้เข้าร่วมสัมมนาการตลาดผ่าน social media ที่บริษัทเอ็มจัดขึ้นค่ะ สัมมนาฟรี แต่ก็ไม่เคยแบ่งปันอะไรแบบมั่วๆนะคะ ทุกครั้งที่สอนก็จะได้ประสบการณ์กับไปทุกครั้ง 





อย่างวันนี้มีหลายหัวข้อที่ได้แบ่งปัน และ discuss กับผู้เข้าร่วมสัมมนานี้หลายหัวข้อแต่มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่เอ็มว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจใน social media platform เลยก็ได้ ที่

ว่าเราควรซื้อไลค์เยอะๆ หรือไม่ ถ้าไม่เพราะอะไร .... 




ความจริงแล้วการมีไลค์ แฟนเพจ หรือผู้ติดตามเยอะๆ เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพียงแต่ว่า
หากแฟนเพจเหล่านั้นเป็นแฟนเพจเชิง คุณภาพมากกว่าปริมาณ ก็จะดีมากมากกว่าปริมาณที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเราเลย  
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำคือ เราควรรู้กลับไปสู่จุดที่เริ่มต้นคือ


1.ธุรกิจของเราคือธุรกิจอะไร ธุรกิจสินค้า หรือ ธุรกิจบริการ

2.และสินค้าหรือบริการคืออะไร มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง

3.กลุ่มเป้าหมาย หรือบุคคลที่เราต้องการให้เค้าเป็นลูกค้าคือใครภาษาการตลาดเรียกว่า target market ค่ะ 





หลังจากนั้นก็แตกออกมาว่าเราสามารถทำแคมเปญอะไรได้บ้าง
1. พูดให้ภาพเข้าใจง่ายๆก็คือ เราให้เทคนิค เรื่อง content อย่างไรได้บ้างเพื่อดึงดูดให้ แฟนเพจดึงแฟนเพจเข้ามา 
2.แล้วเราจะจัดกิจกรรมอะไรได้อีก นี่คือเรื่อง 2 C แล้วคือ content กับ contest 
3.และหากเรารู้ ลักษณะ กลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเราจะรู้ว่าช่วงเวลาไหนเราจะสามารถ โพสต์และเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านั้นมากที่สุด
4.เราจะยิงโฆษณายังไงให้ถึงตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด 

3 คำถามง่ายๆ 4 เทคนิคต่อเนื่อง ที่หากเราตอบได้ชัดเจน เราจะรู้ว่า เราสามารถ เพิ่ม follow ได้อย่างไร จากที่ไหนบ้าง เทคนิคต่างๆบนโลกนี้มีมากมายค่ะ เอ็มชอบคำพูดของผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่บอกว่าในโลก digital ไม่มีใครเก่งที่สุด เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปทุกวัน เราต้องพัฒนาความรู้ให้มากขึ้นทุกวัน 

สรุปก็คือ ทั้ง คุณภาพและปริมาณ สำคัญควบคู่ไปด้วยกัน แต่หากเรานำคุณภาพนำร่องมาก่อน ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเพิ่มปริมาณเชิงคุณภาพแล้วละคะ :) 

Thursday, March 13, 2014

Digital Relationship Management = ความสัมพันธ์นั้นมีอยู่จริง!!!

วันนี้ นั่งนอนป่วยทำงานอยู่บ้านค่ะ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากแต่ก็ยังไปไม่ได้ 
นั่งคิดอยู่หลายตลบวันนี้อยากจะแชร์เรื่องอะไรดี สุดท้ายแล้วเรื่องที่อยากจะเน้นมากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา การได้เห็นจากธุรกิจหลายๆรูปแบบ จากการอ่านหนังสือมาหลายเล่ม
และจากการศึกษาจากสัมมนาต่างๆ


จากทั้งไทยและสิงคโปร์ สิ่งที่รับรู้ได้ก็คือ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่การทำการตลาดเพียงอย่างเดียวแต่อยู่ที่ฝ่ายดูแลลูกค้าสัมพันธ์ หรือภาษไทยเราเรียกว่า customer service
ซึ่งเชื่อมโยงไปกับ customer relationship management ค่ะ หากใครทำธุรกิจที่เป็นธุรกิจบริการจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญอย่างมาก เพราะการบริการจะต้องผ่านจากประสบการณ์ ทักษะผู้ให้บริการไปถึงผู้รับบริการ
แต่ก็ไม่ใช่เพียงธุรกิจบริการเพียงอย่งเดียว ธุรกิจที่เป็นสินค้าก็มีส่วนอย่างมากค่ะ
ช่วงนี้ก็ยังอ่านหนังสือเล่มเดิมไม่จบ คือ เล่มที่เกี่ยวกับ Zappos เว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้มีเสื้อผ้า และ accessories อื่นๆด้วยค่ะ หน้าตาเว็บไซต์เป็นแบบนี้ 



ในหนังสือของคุณ Tony Hseih Delivery Happiness ได้พูดถึงการบริการลูกค้า customers service ที่จะทำให้ลูกค้าพึ่งพอใจตั้งแต่ การส่งของได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ หรือแม้แต่ call center ที่สามารถรับฟังปัญหาของลูกค้าได้นอกเหนือจากปัญหาสินค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร call center ของ zappos ก็พยามช่วยเท่าที่ทำได้ ทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซํ้าอยู่บ่อยๆ เพราะการบริการและการรักษาความสัมพันธ์ ของ zappos เป็นมากกว่า เว็บไซต์ขายรองเท้าค่ะ 


นอกจาก Zappos แล้วร้านกาแฟที่มียอดขายมากที่สุดในโลกอย่าง Starbucks ก็ตอบ twitter ของลูกค้าใน twitter อย่างสมํ่าเสมออย่างที่ crop หน้าจอมาให้ดูละคะ ที่เลือก starbucks มาเป็นตัวอย่างเพราะ มาถึงตอนนี้ เชื่อว่าเกิน 50% ของลูกค้า starbucks อาจจะไม่ได้ซื้อกาแฟ starbucks เพราะรสชาดโดยแท้ แต่หากใครซื้อเพราะรสชาดก็อย่าว่ากันนะคะ เพราะเอ็มก็เป็นแฟน starbucks อยู่ แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อเพราะชอบแบรนด์ ชอบบรรยากาศ ชอบการบริการ ชอบพนักงานที่เอาใจใส่ บางสาขาถึงขนาดจำชื่อเราได้เลยทีเดียว zappos ก็เช่นเดียวกันที่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้เกิดจากสินค้าโดยตรงแต่เกิดจากการบริการค่ะ 


ล่าสุด starbucks เตรียมผลิต application เพื่อสั่งกาแฟทาง application เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วและทันใจกว่าเดิม อีกทั้งยังคงสามารถเพิ่มยอดขายตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย 

ข้อสรุปสำหรับธุรกิจไม่ว่าท่านจะเป็น ธุรกิจขนาดไหนสิ่งที่จะต้องทำคือ

1.ดูแลลูกค้าเก่าที่มีอยู่ให้ดีด้วยความจริงใจ

2.เมื่อเราสร้างสัมพันธ์แล้วเราต้องมีความสมํ่าเสมอ

3.เราต้องตอบทันทีเมื่อลูกค้ามีปัญหา หรือแม้จะชมเราก็น้อมรับไว้อย่างทันที 

4.จงเป็นมากกว่าร้านค้า แบรนด์และธุรกิจ 

5.จงเป็นเพื่อนที่ลูกค้าไว้วางใจค่ะ 

ประโยชน์ของ social mediaคือทำให้เรามีหน้าร้าน 24 ชั่วโมง ถึงแม้อาจทำให้เราเหนื่อยหน่อย แต่ก็สามารถเป็นบันไดให้เราไปถึงเป้าหมายและเมื่อได้รายได้กลับมาก็นำมาสร้างระบบนะคะ :) 

Wednesday, March 12, 2014

เมื่อแม็คโดนัลล์ตัดสินใจลงทุนเพิ่มในการตลาดผ่าน instagram!!!

ก่อนหน้านี้เราคุ้นเคยกับของแถมของพี่แม็คโดนัลล์อยู่ตลอดเวลา 
กาลเวลาเปลี่ยนไปกลยุทธ์การทำ co-branding ก็ยังคงใช้ได้อยู่แต่อาจจะใช้ไม่ได้ตลอดเวลา 


แล้วอะไรที่จะช่วยให้ mcdonalds สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทั่วโลก ตลอด 24 ชั่ว 7 วันต่อ 1 อาทิตย์
คำตอบคือ social media 



ล่าสุดบทความจาก adweek.com กล่าวไว้ว่า ทาง DDBS จับมือกับ Publicis 
ลงทุนถึง 40 ล้านดอลล่าร์เพื่อโปรโมทแบรนด์ผ่าน instagram 
mcdonalds ลงทุนเพิ่มเพื่อที่จะโปรโมท brand ผ่าน instagram 

*FYI instagram เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคกลับไปชอบความเรียบๆ และเป็น vintage ค่ะ 



เมื่อแบรนด์ยักษ์ใหญ่ตัดสินใจใส่งบการตลาดลง โซเชี่ยลมีเดียมากขึ้น เพราะอะไร จุดประสงค์คืออะไร 




จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะ

1.ได้สัมผัสกับกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะแตกต่างกันไป 

2.สร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายผ่านการสื่อสารทางรูป

3.การจับช่องทางหรือความชอบ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคสื่อ ของผู้บริโภค และกลุ่มเป้าหมายผ่าน social media 

4.ยิ่ง กลุ่มเป้าหมายมีส่วนรวมมากเท่าไหร่ กลุ่มเป้าหมายจะเกิดความพอใจมากขึ้น รักแบรนด์มากขึ้น 

5. 4 ข้อด้านบนจะนำไปสู่ content marketing ที่เชื่อมโยงจากสิ่งที่ mcdonalds มีบวกกับสิ่งที่คนต้องการ ยิ่ง mcdonalds รู้ว่าคนต้องการสิ่งไหนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถ ยิ่งcontent ได้ตรงประเด็น brand loyalty เกิดการซื้อซํ้าก็เกิด เกิดไปถึงลูกถึงหลานเลยทีเดียวค่ะ 


Thank you 
Adweek.com
ไม่ห่วง link นะคะ :) คิดว่าคงดีถ้าคนไทยได้หาความรู้เพิ่ม บางครั้งอาจจะแปลมาให้เพื่อเข้าใจง่ายขึ้นค่า 




Saturday, February 22, 2014

เมื่อการโฆษณาของเฟสบุ๊คเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนด้วยหรือไม่!!???

วันนี้เอา tips สำหรับ facebook ads targeting มาฝากค่ะ 


หลังจากที่เฟสบุ๊คเปลี่ยน function facebook ads อีกแล้ววว 
โดยรวม target ทั้ง แบบ broad คือแบบ กว้างๆ กับ specific คือเฉพาะ เจาะจง 
ทำให้ประสิทธิภาพในการทำ ads น้อยลง อันนี้จากประสบการณ์ทำโฆษณา สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาค่ะ เพราะ ฉะนั้นแล้วเราก็จะต้องหาวิธี เพื่อแก้ไขกันไป โดยจุดที่เราต้องแก้ไขคือ เรื่อง targeting 







1.เรื่องของการ boost post ยังแนะนำให้ทำต่อเนื่อง เพราะ อย่างไรก็ตาม หากเราโพสในแต่ละวัน เปอร์เซนต์ในการมองเห็นมากสุดอาจจะอยู่แค่ 10% ของเเฟนเพจหรืออาจไม่ถึงเลย
จำนวน แฟนเพจที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ





2.custom audience สำหรับท่านใดที่มี ฐานข้อมูลของผู้มุ่งหวัง อยู่แล้ว สามารถ นำมาใส่ได้ หากใครไม่มี ลอง หาวิธี เก็บ data base ดูค่ะ อีเมลล์ เป็นข้อมูลเบื้องต้นและอาจได้มาง่ายสุด
โดยใช้ landing page หรือ opt in สำหรับ ท่านใด ยังไม่ทราบเรื่อง opt in ลองใช้ google docก่อนก็ได้ค่ะ ในการรองรับ ข้อมูล เพื่อแปลงเป็นไฟล์ใส่ custom audience ได้สะดวกมากขึ้น 


2.1 แหล่งข้อมูลสำหรับ opt-in (สำหรับผู้เริ่มต้น) สามารถใช้ google doc ได้ค่ะ
2.2 get response
2.3 contact me 
2.4 aweber 



3.บางทีข้อมูลลูกค้า ก็ เกิดจากการ search ผ่าน google จำนวนเยอะนะคะ ถ้าเราสามารถทำ google adwords เพื่อให้เกิด traffic มากขึ้น และ หลังจากนั้นสร้างช่องทางการรับข้อมูลของลูกค้าผ่านทางอีเมลล์ไม่ว่าจะเป็น registration เพื่อให้เรามีฐานข้อมูลมากขึ้นค่ะ 


4.วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจากคู่แข่งค่ะ การสังเกตุการณ์จะทำให้ไปพบสิ่งใหม่ๆ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของคู่แข่งสามารถเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้หากคู่แข่งเป็น direct competitors หรือคู่แข่งทางตรง 

5.ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากดูคู่แข่งแล้วอย่าลืมกลุ่มเป้าหมาย ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง 


5 ข้อง่ายๆ ที่จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมต่อไปถึงการโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการเขียน content ที่ถูกตาต้องใจ กลุ่มเป้าหมายด้วยค่ะ 
           :) 

Monday, December 16, 2013

Creativity : ปัญหา + ทรัพยากรที่มีจำกัด = ความคิดสร้างสรรค์

Create + Activity 
=
Creativity 

วันนี้มีโอกาสได้ฟังบรรยายของคุณ ธนา เธียรอัจฉริยะ 
ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้สร้างตำนานใหม่ให้กับ Happy Dtac

แบรนด์ยิ้มๆ ดูมีความสุข 
การบรรยายครั้งนี้เป็นการบรรยายที่มีหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้างสรรค์ โดยช่วงต้นคุณธนาได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของคุณธนาเอง ความเป็นมาในสายอาชีพ จากอาชีพ Flight Attendant หรือ สจ๊วต ของสายการบินแห่งหนึ่งในสหรัฐ อเมริกา หลังจากนั้นได้ทำสายอาชีพทางการเงิน และเข้าสู่ DTAC ต่อด้วยสายการตลาดแบรนด์อื่นๆ จนกระทั่งประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นหนึ่งในผู้สร้าง สถาบันความคิดสร้างสรรค์ หรือ Academy of Business Creativity ขึ้นมา




ตัวเอ็มเองเคยได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่คุณธนาเขียน รู้สึกประทับใจแนวคิดบวกของคุณเขามาก วันนี้ยิ่งได้เข้าใจว่า ความคิดสร้างสรรค์ในนิยามของคุณธนานั้น คือการที่เราเจอปัญหา บวกกับ ทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจหลายๆอย่างขึ้นไปอีก 

ตัวอย่างที่คุณธนานำมาแบ่งปันมีหลายอย่างมากแต่ที่ประทับใจที่สุด คือ แคมเปญของ การรถไฟในเมืองหนึ่งของประเทศออสเตรเลีย ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ มีชื่อแคมเปญว่า
"Dumb Way to Die" 

สาเหตุคือ มีคนหลายคนที่เดินไม่ดู ทางแล้วผลัดตกลงไปรางรถไฟบ่อยมากทำให้เกิดการเสียชีวิตเกิดขึ้น 
ด้วยทุนที่มีจำกัด ทำให้เกิด แคมเปญที่ชื่อว่า "Dumb Way to Die" 


เอ็มคิดว่าหลายคนอาจจะ รู้จัก แคมเปญนี่แล้ว หากใครยังเคยชมลองชมดูเลยค่ะ




ความคิดคือ การสร้างสิ่งที่ต้องฟัง กลายเป็นสิ่งที่น่าฟัง แคมเปญนี่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเพราะความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจาก ปัญหาบวกกับทรัพยากรที่มีจำกัดละคะ

สรุปคร่าวๆ ความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นได้ถ้า

1.เราชอบและรักในสิ่งที่ทำ จะทำให้เกิดความสุข
2.ความพยายาม และความอดทนคือ พรสวรรค์
3.การมีสมาธิ และใจจดจ่อ จะทำให้ภาพความสำเร็จชัดขึ้น
4.การทดลองทำเมื่อผิดพลาด แก้ไข

ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนอาจจะทราบแล้ว แต่วันนี้สิ่งที่คุณธนาพูด คือสิ่งที่คุณธนาเคยผ่านมาจริง หลายคนทราบแต่ไม่เคยทำจริง ไม่ว่าวันนี้เราจะทำการตลาดผ่าน offline หรือ online หลักการ 4 ข้อนี้ก็ใช้ได้เสมอ หวังว่าบทความวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ

แค่คุณเปลี่ยนมุมมอง ความคิดก็เปลี่ยนแล้วค่ะ 

:)