Wednesday, February 19, 2014

เหตุผลที่ Facebook ซื้อหุ้นของ whatsapp



สองปีที่ผ่านมา line ตีตลาด ทะลุ ทั้ง IM หรือ instant message กับ ตัว social media platform ซึ่งหากย้อนกลับไปดูที่ญี่ปุ่น แล้ว line คืออันดับหนึ่ง ทั้งประเภท instant message และ social media platform
แม้ว่าwhatsapp เคยเป็นที่ 1 ในการสื่อสารผ่าน instant message ก่อน แต่ณ ปัจจุบัน หลายคนคงเลิกใช้ไปแล้ว บางคนก็กำลังจะเลิกใช้  เนื่องจากถ้าจะโหลดใหม่ก็ต้องเสียเงินโหลด ถึง $.99 เลยทีเดียว

เฟสบุ๊คเองก็พยายาม พัฒนา ส่วนที่เป็น inbox หรือ facebook messaging โดยการเพิ่มสติ๊กเกอร์น่ารักๆ เข้ามา พร้อมมี video calling แต่น้อยคนนักจะใช้ function นี้ของเฟสบุ๊ค
ในที่สุดข่าวล่า วันนี้เมื่อเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาคือ เฟสบุ๊คซื้อ whatsapp แล้ว แต่รายละเอียดและเหตุผลคืออะไรละคะ  .... ดูจากข้างต้น ทั้งสองก็กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆเพื่อให้ได้พัฒนาและสู้ได้กับคู่ต่อสู้ที่เกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด ทำให้เฟสบุ๊ค ซื้อหุ้นของ whatsapp ด้วยราคา

16 พันล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ 16 พันล้าน แตกออกเป็นอะไรได้บ้าง

12 พันล้านถูกใช้ไปในหุ้น

4 พันล้านเป็นเงินสด

3 พันล้านเป็นค่าพนักงาน

ทั้งหมดรวมแล้วคือ 19 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐค่ะ

การแถลงการณ์ของทางเฟสบุ๊คนั้นการได้ whatsapp มาถือเป็นการเกิดใหม่ของการร่วมมือกันระหว่าง facebook และ whatsapp เนื่องจาก whatsapp สามารถเป็นจุดเชื่อมต่อให้กับผู้ใช้ หรือ user ได้ถึง 1 พันล้านคนเลยทีเดียว ถึงแม้จำนวนผู้ใช้จะลดลง แต่ก็มีผู้ใช้อยู่ถึง 70% ของจำนวนการ register ทั้งหมด

ทางเฟสบุ๊คมองว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นร่วมถึง function instant message ที่ยังไม่สามารถ สู้คู่แข่งบางแบรนด์ได้
เราเคยพูดเรื่อง trend ในปี 2014 ไปแล้วว่าหนึ่งในเทรนด์ ที่แท้จริงคือเรื่อง mobile marketing อาจไม่ใช่ sms แต่คือ instant message platform + social media platform กับการพัฒนาที่ต้องทำให้ต่อเนื่อง

ที่น่าจับตามองก็คือ หากทางผู้บริหารของ whatsapp กล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ application ใดๆทั้งสิ้น ไม่มีโฆษณา ไม่มีการรบกวนใดๆ ให้กับผู้ใช้ whatsapp เลย แล้วการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคืออะไร แต่คอยติดตามกันนะคะ

mobile marketing เป็นเรื่องสำคัญ ลองหาความรู้เพิ่มเติม จะดีมากค่า 

หวังว่าบทความวันนี้จะเป็นประโยชน์เช่นเคยค่ะ 


วิเคราะห์บทความจาก 

credit : 
techcrunch
businessinsider 
techinasia 

No comments:

Post a Comment