Showing posts with label การตลาดผ่านโซเชี่ยลมีเดีย. Show all posts
Showing posts with label การตลาดผ่านโซเชี่ยลมีเดีย. Show all posts

Saturday, March 15, 2014

คุณภาพ VS ปริมาณ อันไหนดีกว่ากัน?

วันนี้ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ได้แบ่งปันประสบการณ์และความรู้ให้กับ ผู้เข้าร่วมสัมมนาการตลาดผ่าน social media ที่บริษัทเอ็มจัดขึ้นค่ะ สัมมนาฟรี แต่ก็ไม่เคยแบ่งปันอะไรแบบมั่วๆนะคะ ทุกครั้งที่สอนก็จะได้ประสบการณ์กับไปทุกครั้ง 





อย่างวันนี้มีหลายหัวข้อที่ได้แบ่งปัน และ discuss กับผู้เข้าร่วมสัมมนานี้หลายหัวข้อแต่มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่เอ็มว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจใน social media platform เลยก็ได้ ที่

ว่าเราควรซื้อไลค์เยอะๆ หรือไม่ ถ้าไม่เพราะอะไร .... 




ความจริงแล้วการมีไลค์ แฟนเพจ หรือผู้ติดตามเยอะๆ เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพียงแต่ว่า
หากแฟนเพจเหล่านั้นเป็นแฟนเพจเชิง คุณภาพมากกว่าปริมาณ ก็จะดีมากมากกว่าปริมาณที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเราเลย  
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำคือ เราควรรู้กลับไปสู่จุดที่เริ่มต้นคือ


1.ธุรกิจของเราคือธุรกิจอะไร ธุรกิจสินค้า หรือ ธุรกิจบริการ

2.และสินค้าหรือบริการคืออะไร มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง

3.กลุ่มเป้าหมาย หรือบุคคลที่เราต้องการให้เค้าเป็นลูกค้าคือใครภาษาการตลาดเรียกว่า target market ค่ะ 





หลังจากนั้นก็แตกออกมาว่าเราสามารถทำแคมเปญอะไรได้บ้าง
1. พูดให้ภาพเข้าใจง่ายๆก็คือ เราให้เทคนิค เรื่อง content อย่างไรได้บ้างเพื่อดึงดูดให้ แฟนเพจดึงแฟนเพจเข้ามา 
2.แล้วเราจะจัดกิจกรรมอะไรได้อีก นี่คือเรื่อง 2 C แล้วคือ content กับ contest 
3.และหากเรารู้ ลักษณะ กลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเราจะรู้ว่าช่วงเวลาไหนเราจะสามารถ โพสต์และเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านั้นมากที่สุด
4.เราจะยิงโฆษณายังไงให้ถึงตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด 

3 คำถามง่ายๆ 4 เทคนิคต่อเนื่อง ที่หากเราตอบได้ชัดเจน เราจะรู้ว่า เราสามารถ เพิ่ม follow ได้อย่างไร จากที่ไหนบ้าง เทคนิคต่างๆบนโลกนี้มีมากมายค่ะ เอ็มชอบคำพูดของผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่บอกว่าในโลก digital ไม่มีใครเก่งที่สุด เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปทุกวัน เราต้องพัฒนาความรู้ให้มากขึ้นทุกวัน 

สรุปก็คือ ทั้ง คุณภาพและปริมาณ สำคัญควบคู่ไปด้วยกัน แต่หากเรานำคุณภาพนำร่องมาก่อน ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเพิ่มปริมาณเชิงคุณภาพแล้วละคะ :) 

Thursday, March 13, 2014

Digital Relationship Management = ความสัมพันธ์นั้นมีอยู่จริง!!!

วันนี้ นั่งนอนป่วยทำงานอยู่บ้านค่ะ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากแต่ก็ยังไปไม่ได้ 
นั่งคิดอยู่หลายตลบวันนี้อยากจะแชร์เรื่องอะไรดี สุดท้ายแล้วเรื่องที่อยากจะเน้นมากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา การได้เห็นจากธุรกิจหลายๆรูปแบบ จากการอ่านหนังสือมาหลายเล่ม
และจากการศึกษาจากสัมมนาต่างๆ


จากทั้งไทยและสิงคโปร์ สิ่งที่รับรู้ได้ก็คือ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่การทำการตลาดเพียงอย่างเดียวแต่อยู่ที่ฝ่ายดูแลลูกค้าสัมพันธ์ หรือภาษไทยเราเรียกว่า customer service
ซึ่งเชื่อมโยงไปกับ customer relationship management ค่ะ หากใครทำธุรกิจที่เป็นธุรกิจบริการจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญอย่างมาก เพราะการบริการจะต้องผ่านจากประสบการณ์ ทักษะผู้ให้บริการไปถึงผู้รับบริการ
แต่ก็ไม่ใช่เพียงธุรกิจบริการเพียงอย่งเดียว ธุรกิจที่เป็นสินค้าก็มีส่วนอย่างมากค่ะ
ช่วงนี้ก็ยังอ่านหนังสือเล่มเดิมไม่จบ คือ เล่มที่เกี่ยวกับ Zappos เว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้มีเสื้อผ้า และ accessories อื่นๆด้วยค่ะ หน้าตาเว็บไซต์เป็นแบบนี้ 



ในหนังสือของคุณ Tony Hseih Delivery Happiness ได้พูดถึงการบริการลูกค้า customers service ที่จะทำให้ลูกค้าพึ่งพอใจตั้งแต่ การส่งของได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ หรือแม้แต่ call center ที่สามารถรับฟังปัญหาของลูกค้าได้นอกเหนือจากปัญหาสินค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร call center ของ zappos ก็พยามช่วยเท่าที่ทำได้ ทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซํ้าอยู่บ่อยๆ เพราะการบริการและการรักษาความสัมพันธ์ ของ zappos เป็นมากกว่า เว็บไซต์ขายรองเท้าค่ะ 


นอกจาก Zappos แล้วร้านกาแฟที่มียอดขายมากที่สุดในโลกอย่าง Starbucks ก็ตอบ twitter ของลูกค้าใน twitter อย่างสมํ่าเสมออย่างที่ crop หน้าจอมาให้ดูละคะ ที่เลือก starbucks มาเป็นตัวอย่างเพราะ มาถึงตอนนี้ เชื่อว่าเกิน 50% ของลูกค้า starbucks อาจจะไม่ได้ซื้อกาแฟ starbucks เพราะรสชาดโดยแท้ แต่หากใครซื้อเพราะรสชาดก็อย่าว่ากันนะคะ เพราะเอ็มก็เป็นแฟน starbucks อยู่ แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อเพราะชอบแบรนด์ ชอบบรรยากาศ ชอบการบริการ ชอบพนักงานที่เอาใจใส่ บางสาขาถึงขนาดจำชื่อเราได้เลยทีเดียว zappos ก็เช่นเดียวกันที่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้เกิดจากสินค้าโดยตรงแต่เกิดจากการบริการค่ะ 


ล่าสุด starbucks เตรียมผลิต application เพื่อสั่งกาแฟทาง application เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วและทันใจกว่าเดิม อีกทั้งยังคงสามารถเพิ่มยอดขายตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย 

ข้อสรุปสำหรับธุรกิจไม่ว่าท่านจะเป็น ธุรกิจขนาดไหนสิ่งที่จะต้องทำคือ

1.ดูแลลูกค้าเก่าที่มีอยู่ให้ดีด้วยความจริงใจ

2.เมื่อเราสร้างสัมพันธ์แล้วเราต้องมีความสมํ่าเสมอ

3.เราต้องตอบทันทีเมื่อลูกค้ามีปัญหา หรือแม้จะชมเราก็น้อมรับไว้อย่างทันที 

4.จงเป็นมากกว่าร้านค้า แบรนด์และธุรกิจ 

5.จงเป็นเพื่อนที่ลูกค้าไว้วางใจค่ะ 

ประโยชน์ของ social mediaคือทำให้เรามีหน้าร้าน 24 ชั่วโมง ถึงแม้อาจทำให้เราเหนื่อยหน่อย แต่ก็สามารถเป็นบันไดให้เราไปถึงเป้าหมายและเมื่อได้รายได้กลับมาก็นำมาสร้างระบบนะคะ :) 

Wednesday, March 12, 2014

เมื่อแม็คโดนัลล์ตัดสินใจลงทุนเพิ่มในการตลาดผ่าน instagram!!!

ก่อนหน้านี้เราคุ้นเคยกับของแถมของพี่แม็คโดนัลล์อยู่ตลอดเวลา 
กาลเวลาเปลี่ยนไปกลยุทธ์การทำ co-branding ก็ยังคงใช้ได้อยู่แต่อาจจะใช้ไม่ได้ตลอดเวลา 


แล้วอะไรที่จะช่วยให้ mcdonalds สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทั่วโลก ตลอด 24 ชั่ว 7 วันต่อ 1 อาทิตย์
คำตอบคือ social media 



ล่าสุดบทความจาก adweek.com กล่าวไว้ว่า ทาง DDBS จับมือกับ Publicis 
ลงทุนถึง 40 ล้านดอลล่าร์เพื่อโปรโมทแบรนด์ผ่าน instagram 
mcdonalds ลงทุนเพิ่มเพื่อที่จะโปรโมท brand ผ่าน instagram 

*FYI instagram เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคกลับไปชอบความเรียบๆ และเป็น vintage ค่ะ 



เมื่อแบรนด์ยักษ์ใหญ่ตัดสินใจใส่งบการตลาดลง โซเชี่ยลมีเดียมากขึ้น เพราะอะไร จุดประสงค์คืออะไร 




จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะ

1.ได้สัมผัสกับกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะแตกต่างกันไป 

2.สร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายผ่านการสื่อสารทางรูป

3.การจับช่องทางหรือความชอบ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคสื่อ ของผู้บริโภค และกลุ่มเป้าหมายผ่าน social media 

4.ยิ่ง กลุ่มเป้าหมายมีส่วนรวมมากเท่าไหร่ กลุ่มเป้าหมายจะเกิดความพอใจมากขึ้น รักแบรนด์มากขึ้น 

5. 4 ข้อด้านบนจะนำไปสู่ content marketing ที่เชื่อมโยงจากสิ่งที่ mcdonalds มีบวกกับสิ่งที่คนต้องการ ยิ่ง mcdonalds รู้ว่าคนต้องการสิ่งไหนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถ ยิ่งcontent ได้ตรงประเด็น brand loyalty เกิดการซื้อซํ้าก็เกิด เกิดไปถึงลูกถึงหลานเลยทีเดียวค่ะ 


Thank you 
Adweek.com
ไม่ห่วง link นะคะ :) คิดว่าคงดีถ้าคนไทยได้หาความรู้เพิ่ม บางครั้งอาจจะแปลมาให้เพื่อเข้าใจง่ายขึ้นค่า 




Saturday, February 22, 2014

เมื่อการโฆษณาของเฟสบุ๊คเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนด้วยหรือไม่!!???

วันนี้เอา tips สำหรับ facebook ads targeting มาฝากค่ะ 


หลังจากที่เฟสบุ๊คเปลี่ยน function facebook ads อีกแล้ววว 
โดยรวม target ทั้ง แบบ broad คือแบบ กว้างๆ กับ specific คือเฉพาะ เจาะจง 
ทำให้ประสิทธิภาพในการทำ ads น้อยลง อันนี้จากประสบการณ์ทำโฆษณา สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาค่ะ เพราะ ฉะนั้นแล้วเราก็จะต้องหาวิธี เพื่อแก้ไขกันไป โดยจุดที่เราต้องแก้ไขคือ เรื่อง targeting 







1.เรื่องของการ boost post ยังแนะนำให้ทำต่อเนื่อง เพราะ อย่างไรก็ตาม หากเราโพสในแต่ละวัน เปอร์เซนต์ในการมองเห็นมากสุดอาจจะอยู่แค่ 10% ของเเฟนเพจหรืออาจไม่ถึงเลย
จำนวน แฟนเพจที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ





2.custom audience สำหรับท่านใดที่มี ฐานข้อมูลของผู้มุ่งหวัง อยู่แล้ว สามารถ นำมาใส่ได้ หากใครไม่มี ลอง หาวิธี เก็บ data base ดูค่ะ อีเมลล์ เป็นข้อมูลเบื้องต้นและอาจได้มาง่ายสุด
โดยใช้ landing page หรือ opt in สำหรับ ท่านใด ยังไม่ทราบเรื่อง opt in ลองใช้ google docก่อนก็ได้ค่ะ ในการรองรับ ข้อมูล เพื่อแปลงเป็นไฟล์ใส่ custom audience ได้สะดวกมากขึ้น 


2.1 แหล่งข้อมูลสำหรับ opt-in (สำหรับผู้เริ่มต้น) สามารถใช้ google doc ได้ค่ะ
2.2 get response
2.3 contact me 
2.4 aweber 



3.บางทีข้อมูลลูกค้า ก็ เกิดจากการ search ผ่าน google จำนวนเยอะนะคะ ถ้าเราสามารถทำ google adwords เพื่อให้เกิด traffic มากขึ้น และ หลังจากนั้นสร้างช่องทางการรับข้อมูลของลูกค้าผ่านทางอีเมลล์ไม่ว่าจะเป็น registration เพื่อให้เรามีฐานข้อมูลมากขึ้นค่ะ 


4.วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจากคู่แข่งค่ะ การสังเกตุการณ์จะทำให้ไปพบสิ่งใหม่ๆ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของคู่แข่งสามารถเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้หากคู่แข่งเป็น direct competitors หรือคู่แข่งทางตรง 

5.ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากดูคู่แข่งแล้วอย่าลืมกลุ่มเป้าหมาย ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง 


5 ข้อง่ายๆ ที่จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมต่อไปถึงการโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการเขียน content ที่ถูกตาต้องใจ กลุ่มเป้าหมายด้วยค่ะ 
           :) 

Wednesday, February 19, 2014

เหตุผลที่ Facebook ซื้อหุ้นของ whatsapp



สองปีที่ผ่านมา line ตีตลาด ทะลุ ทั้ง IM หรือ instant message กับ ตัว social media platform ซึ่งหากย้อนกลับไปดูที่ญี่ปุ่น แล้ว line คืออันดับหนึ่ง ทั้งประเภท instant message และ social media platform
แม้ว่าwhatsapp เคยเป็นที่ 1 ในการสื่อสารผ่าน instant message ก่อน แต่ณ ปัจจุบัน หลายคนคงเลิกใช้ไปแล้ว บางคนก็กำลังจะเลิกใช้  เนื่องจากถ้าจะโหลดใหม่ก็ต้องเสียเงินโหลด ถึง $.99 เลยทีเดียว

เฟสบุ๊คเองก็พยายาม พัฒนา ส่วนที่เป็น inbox หรือ facebook messaging โดยการเพิ่มสติ๊กเกอร์น่ารักๆ เข้ามา พร้อมมี video calling แต่น้อยคนนักจะใช้ function นี้ของเฟสบุ๊ค
ในที่สุดข่าวล่า วันนี้เมื่อเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาคือ เฟสบุ๊คซื้อ whatsapp แล้ว แต่รายละเอียดและเหตุผลคืออะไรละคะ  .... ดูจากข้างต้น ทั้งสองก็กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆเพื่อให้ได้พัฒนาและสู้ได้กับคู่ต่อสู้ที่เกิดขึ้นมากมายในท้องตลาด ทำให้เฟสบุ๊ค ซื้อหุ้นของ whatsapp ด้วยราคา

16 พันล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ 16 พันล้าน แตกออกเป็นอะไรได้บ้าง

12 พันล้านถูกใช้ไปในหุ้น

4 พันล้านเป็นเงินสด

3 พันล้านเป็นค่าพนักงาน

ทั้งหมดรวมแล้วคือ 19 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐค่ะ

การแถลงการณ์ของทางเฟสบุ๊คนั้นการได้ whatsapp มาถือเป็นการเกิดใหม่ของการร่วมมือกันระหว่าง facebook และ whatsapp เนื่องจาก whatsapp สามารถเป็นจุดเชื่อมต่อให้กับผู้ใช้ หรือ user ได้ถึง 1 พันล้านคนเลยทีเดียว ถึงแม้จำนวนผู้ใช้จะลดลง แต่ก็มีผู้ใช้อยู่ถึง 70% ของจำนวนการ register ทั้งหมด

ทางเฟสบุ๊คมองว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นร่วมถึง function instant message ที่ยังไม่สามารถ สู้คู่แข่งบางแบรนด์ได้
เราเคยพูดเรื่อง trend ในปี 2014 ไปแล้วว่าหนึ่งในเทรนด์ ที่แท้จริงคือเรื่อง mobile marketing อาจไม่ใช่ sms แต่คือ instant message platform + social media platform กับการพัฒนาที่ต้องทำให้ต่อเนื่อง

ที่น่าจับตามองก็คือ หากทางผู้บริหารของ whatsapp กล่าวว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ application ใดๆทั้งสิ้น ไม่มีโฆษณา ไม่มีการรบกวนใดๆ ให้กับผู้ใช้ whatsapp เลย แล้วการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคืออะไร แต่คอยติดตามกันนะคะ

mobile marketing เป็นเรื่องสำคัญ ลองหาความรู้เพิ่มเติม จะดีมากค่า 

หวังว่าบทความวันนี้จะเป็นประโยชน์เช่นเคยค่ะ 


วิเคราะห์บทความจาก 

credit : 
techcrunch
businessinsider 
techinasia 

Tuesday, January 28, 2014

จะโพสต์อะไรดี? คำถามที่เกิดขึ้นบ่อยสำหรับ sme ที่เลือกใช้ social media เป็นช่องทางการทำการตลาด



เราควรโพสต์อะไรดี จะถูกใจ กลุ่มเป้าหมาย?

คำถามนี้เจอบ่อยครั้งทั้งในคลาสที่สอน เวลาให้คำปรึกษาธุรกิจต่างๆ หรือแม้แต่กับตัวเองค่ะ 
ไม่ต้องกังวลไป การคิดไม่ออกเป็นเรื่องปกติ แต่เราต้องกลับไปเริ่มต้นวางแผนเพื่อให้มีความสมํ่าเสมอในการโพสต์และการสานสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายหรือ fan page ของเราค่ะ สิ่งที่เราต้องกลับไปทบทวนคือ

1.ธุรกิจของเรา คือธุรกิจอะไร ให้ประโยชน์อะไรกลับไปกับกลุ่มเป้าหมายได้บ้าง
2.แบรนด์เรา มีลักษณะบุคคลิกของแบรนด์อย่างไร 
3.กลุ่มเป้าหมายของเรา มีลักษณะและพฤติกรรมอย่างไรบ้าง




หลังจากนั้นลองผสมผสานกับสิ่งรอบตัว เพื่อคิด theme ใหญ่ ที่เปรียบเหมือน ร่มคันใหญ่ และสามารถแตกหัวข้อการโพสต์ออกมาได้เป็นรายอาทิตย์ รายวัน และรายชั่วโมง 

ตัวอย่างเช่นแผนสำหรับการโพสต์เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรัก เรานำสิ่งที่ แบรนด์ของเรามี บวกกับตีมประจำเดือนและบวกกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ หลังจากนั้นนำโจทย์มาหาข้อมูลต่างๆ เพื่อโพสต์ตามประเภทดังรูป อาทิเช่น รูปภาพ ลิ้งค์จากเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ดีๆ บทความ สุดท้ายคือการขายหรือโปรโมชั่น เอ็มเคยพูดถึงเรื่องกฏ 80+20 ไปว่า 80% การโพสต์ ให้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยว และเกี่ยวแบบอ้อมๆสำหรับการขาย อีก 20% ให้เป็นเรื่องของการขาย 

การแตก ตีมเช่นนี้นำมาบวกกับ 3E หรือ 3 ให้ ที่เคยว่าไว้คือ ให้ความรู้ ให้ความบันเทิง ให้แรงบันดาลใจ 
แหล่งข้อมูลสำหรับการโพสต์ก็จะไม่ซํ้าไม่น่าเบื่อหน่าย ถ้าเปรียบเพจของเราเป็นคนแล้ว ก็จะเป็นคนที่คุยสนุก ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ  

สำหรับคนที่ต้องการทำ blog หรือคนที่มี website เราสามารถสร้าง traffic ได้หลายช่องทางหากเราใช้ twitter ข้อความควรเป็นพาดหัวข่าว เนื่องจากจำกัดจำนวนตัวอักษร หากเป็น facebook ควรเป็นพาดหัวข่าวบวกกับเนื้อหาโดยย่อผสมกับ link ที่จะนำ กลุ่มเป้าหมายให้เข้าสู่เว็บไซต์ หรือ blog ของเรา เราสามารถใช้ forum หรือกระทู้เพื่อสร้าง traffic บวกกับ social media ช่องทางอื่นๆ อย่างที่ยกตัวอย่างมาค่ะ ปีนี้ video marketing มาแรงเอ็มว่ามาแรงนะคะ ถ้าใช้ถูกใช้เป็นสร้างวิดีโอให้ดึงดูดเป็น 

เทคนิคในโพสต์วันนี้น่าจะช่วยให้ใครหลายๆคนแก้ไขปัญหาเรื่องการโพสต์ได้ไม่มากก็น้อย ยังไงคอยติดตามในโพสต์ครั้งต่อไปดูนะคะ ว่าจะมีเทคนิคอะไรมาฝากอีก 

:) 


Monday, January 13, 2014

Content Marketing : ข้อความที่คุณต้องการสื่อออกไป




หลังจาก blog ที่แล้วพูดถึงเลือกการใช้ social media เมื่อเลือกได้แล้ว เราได้พูดถึงการดู กลุ่มเป้าหมายของเรา และสินค้าของเราว่าจะใช้ social media เครื่องมือไหน  
content marketing ก็เช่นเดียวกันค่ะ เราต้องดูกลุ่มตลาดของเราว่าเราควรนำเสนอสารอย่างไรบ้าง เรื่องอะไรบ้าง และนำเสนอในรูปแบบไหน 
อ่าน เห็น ได้ยิน ประสาทสัมผัสหลักๆผ่าน social media 


content marketing : content คือ เนื้อหา เนื้อเรื่อง ข้อมูล สารที่เราต้องการนำเสนอ ผ่านสัมผัสหลักๆ อยู่ 2 อย่างหากเราพูดถึงตัว social media คือ 1 การอ่าน การมองเห็นทางสายตา 2 การได้ยินเสียงผ่านหูทั้งสองข้าง การนำเสนอเรื่องราวต่างๆผ่าน content marketing จึงเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถือเป็นสารที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมาย มองเห็น รู้จัก เข้าใจ และผูกสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ 

content marketing ก็จัดได้ว่าถูกดำเนินมานานหลายปีแล้วคู่กับการทำการตลาด ตั้งแต่ยุคสมัยของออฟไลน์ที่มี นิตยสาร โทรทัศน์ วิทยุ เพียงแต่เรานำเนื้อหาเหล่านั้นเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารมาเป็น social media แต่ไม่ใช่การนำเนื้อหาอะไรก็ได้มา สื่อ กับกลุ่มเป้าหมายให้รู้จักกับแบรนด์เรา 

หลักๆแล้วขั้นตอนแรกสามารถ แตกลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของเราออกมาว่าเป็นคนลักษณะไหน อายุเท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างไร คิดอย่างไร และเราก็เสนอเรื่องราว หรือ สาร ผ่าน social media ให้เหมือนกับเพื่อนที่มีลักษณะเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมาย ได้เป็นคนทำหน้าที่สื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้าใจแบรนด์ของคุณยิ่งขึ้น 

หลังจากนั้น แตกประเด็นค่ะ :) หลักการง่ายๆขั้นต้น คือ 

1.เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับการขาย
2.เนื้อหาที่เกี่ยวกับการขาย 

เราจะใช้กฏ 80:20 เป็นกฏที่ใช้กันบ่อยๆ ก็ยังใช้ได้อยู่ค่ะ ปัจจุบันคนเราชอบรับข้อมูลต้านๆคือต้องการเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้เพราะฉะนั้นแล้วแบรนด์ก็ต้องเป็นเพื่อนที่ให้ค่ะ ใส่ใจในรายละเอียดของผู้ที่รับ ให้ให้ให้ ให้ข้อมูลต่างๆ ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับการขายเลย แต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าของคุณทางอ้อม โดยใช้หลักการ


framework แบบง่ายๆสำหรับ content marketing เบื้องต้น



ให้ 3 หลัก คือ
1.ให้ความรู้ 
ให้ความรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 
2.ให้ความบันเทิง
ให้ความบันเทิงในเรื่องต่างๆ เหมือนเป็นเพื่อนที่สามารถเล่าเรื่องที่อ่านแล้วสบายใจที่จะอ่าน หรือสนุกเวลาอ่าน 
3.ให้แรงบันดาลใจ 
ให้กำลังใจเมื่อกลุ่มเป้าหมายต้องการ

ลองวิเคราะห์และเขียนออกมาเบื้องต้นก่อนนะคะ ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ต้องการอะไร แล้วเราต้องการสื่ออะไร แล้วเราจะให้ 3 ให้ข้อมูลได้อย่างไรบ้าง เดี๋ยว blog ต่อไปเอ็มจะเอา framework ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับ content marketing มาให้ดูกันค่ะ ยังไงก็เอาใจช่วยกับใครหลายๆคนที่กำลังใช้ social media เป็นเครื่องมือทำการตลาดสำหรับธุรกิจด้วยนะคะ 


Thursday, December 19, 2013

คริสมาสต์...การให้...กับโซเชี่ยลมีเดีย (Christmas+Give+Social Media) = A better world






ปี 2013 ที่ผ่านมาโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงมากมายไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ถ้า ณ วันนี้เราคงบอกว่าสภาพอากาศกรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่ถ้าย้อนกลับไปดู และมองออกไปดูโลกของคนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกรุงเทพแล้ว ปีที่ผ่านมา มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์กระทบกระเทือน ทั้ง ทุนทรัพย์ จิตใจ ร่างกาย และชีวิต ของคนหลายๆคน ใกล้คริสมาสต์ปีนี้ เอ็มขอหยิบประเด็นของ Viral Marketing (Viral แปลว่า กระแส ,Marketing แปลว่า การตลาด) การสร้างกระแสก็เป็นส่วนหนึ่งของการตลาด  บวกกับเทรนด์ในปี 2014 นี้ Video จะเป็นที่นิยมกันมากขึ้น บอกเปรยๆว่า ทางเฟสบุ๊คก็เริ่มปล่อยให้ทำโฆษณาเป็นวิดีโอแล้ว ถ้าคอนเฟิร์มอย่างไรจะบอกอีกทีนะคะ



กรณีตัวอย่างสำหรับวันนี้คือ วิดีโอที่ทำขึ้นมาเพื่อโปรโมทหนัง เรื่อง "The Secret Life of Walter Mitty"
Casey Neistat นักทำหนังชาวอเมริกัน ได้รับอีเมลล์จาก เอเจนซี่โฆษณาเจ้าใหญ่ที่รับงานมาจาก 20 century fox อีกทีให้ทำหนังสั้นเพื่อสร้างกระแสให้กับหนังเรื่อง "The Secret Life of Walter Mitty" อีกที คอนเซปต์คือ Live your dream หรือทำตามฝันของคุณ  หนังสั้นสร้างกระแสให้ผู้คน กล้าทำในสิ่งไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิตและทำอย่างที่เคยฝันไว้

20 century fox ตอบรับเงื่อนไขรูปแบบวิดีโอนี้ค่ะ

ด้วยงบประะมาณ 25,000 ดอลล่าร์ หรือเป็นเงินไทยคือ 800,000 บาท คุณ Casey จึงสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ วิดีโอหนังสั้นโดยใช้เงินทั้งหมด 800,000 บาทเพื่อช่วยผู้ประสบภัยไต้ฝุ่น ในฟิลลิปปินส์ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทุกผ่านทุกสตางค์ ใช้ไปกับถุงยังชีพที่ นำไปบริจาคค่ะ วิดีโอ ไม่ได้พูดถึงตัวละครของหนัง แต่วิดีโอ ทำให้เรารู้จักชื่อของหนัง ผ่านกระแสนี้ กระแสทางบวก การช่วยเหลือผู้อื่นผ่านสิ่งที่คุณต้องการทำตามความฝันของคุณได้ 


"What would you do with $25,000" ชมได้เลยค่ะ





คิด สร้างกระแสเชิงบวก และลงมือทำค่ะ ผลจะกลับมาหาคุณไม่ช้าก็เร็ว
Merry Pre-Christmas ค่ะ